ภูหินจอมธาตุ หินก้อนที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นก้อนตรงหน้าซึ่งรูปร่างคล้ายถ้วยฟุตบอลโลก
ภูหินจอมธาตุ หินก้อนที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นก้อนตรงหน้าซึ่งรูปร่างคล้ายถ้วยฟุตบอลโลกในความคิดเรา แต่ชาวบ้านบอกว่าเหมือนกับ “ธาตุ” หรือ เจดีย์บรรจุอัฐิผู้ล่วงลับ และขนาดซึ่งใหญ่สูงเด่นจึงเรียกว่า “จอมธาตุ” โดยนำไปตั้งเป็นชื่อวนอุทยานฯ ด้วยดวงตะวันสีส้มลอยเด่นเหนือหินจอมธาตุ สะท้อนเงาบนผิวน้ำของห้วยหลวง...เป็นฉากรุ่งอรุณที่น่าชม
ภูหินจอมธาตุ อยู่สูงจากระดับทะเล 450 เมตร อากาศด้านบนจึงเย็นสบาย มีลมพัดตลอด ฤดูหนาวไม้ในป่าเต็งรังจะพากันผลัดใบ มีหมอกจางๆ ราวม่านสีขาว บางปีอุณหภูมิลดต่ำลงถึง 5 องศาเซลเซียส ในฤดูฝนความสวยงามมีไม่น้อยไปกว่ากัน ผืนป่านั้นเขียวขจี มีน้ำไหลผ่านโขดหิน และหลังฝนตกก็มีทะเลหมอก สัมผัสได้ถึงความชุ่มฉ่ำ ส่วนช่วงปลายฝนต้นหนาวดอกดุสิตาและสร้อยสุวรรณาจะบานแต่งแต้มสีสันบนลานหิน พอล่วงเข้าฤดูร้อนถึงคราวดอกช้างน้าวและดอกกวาวเครือแดงบานสะพรั่งบ้าง ต่างฤดูกาลธรรมชาติก็งดงามต่างกันไป
หลังนั่งชมฉากพระอาทิตย์ขึ้นจนอิ่มเอมใจ ร่างกายคลายความเมื่อยล้าแล้ว หัวหน้าก็ชวนทั้งทีมเดินกลับไปอีกทางหนึ่งซึ่งมีสิ่งน่าสนใจหลายจุดให้แวะชม แดดเช้าช่วยให้เรามองเห็นผืนป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณโดยรอบถนัดตาขึ้น มีต้นมะค่าโมง ตะแบก ประดู่ กระบก ขึ้นหนาแน่นไปทั่ว หัวหน้าพาชมรอยพระบาท ลักษณะเป็นหลุมลึกยาวราว 2เมตรบนลานหิน รูปร่างเหมือนรอยเท้ามนุษย์ เชื่อว่าเป็นรอยเท้าของผู้ทรงศีล จากนั้นไปชมเพิงหินที่ชาวบ้านเรียกว่าถ้ำตาปาแดง เล่ากันว่าเป็นที่อยู่ของปู่แดง ชายพเนจรผู้อาศัยในป่า คอยไล่พวกลักลอบตัดไม้ทำลายป่า
แวะสูดอากาศบริสุทธิ์ที่จุดชมทิวทัศน์มะค่าแต้ มองเห็นทุ่งนาผืนใหญ่อยู่เบื้องล่าง ในอดีตบริเวณนี้เป็นที่ลำเลียงเสบียงไปยังภูหินลาดช่อฟ้า ฐานที่มั่นสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ระหว่างทางมีพรรณไม้น่าชมหลายชนิด อย่างสลัดได บุกที่นำหัวมาบริโภค โมกราชินีซึ่งออกดอกเล็กๆ สีขาวสวย หลังจากนั้นพวกเราพากันขึ้นรถกระบะกลับลงมาที่ที่ทำการวนอุทยานภูหินจอมธาตุ ด้านล่าง
แต่ท้ายที่สุดก็ถูกลอบยิงเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า